การที่ผู้เรียนทำการประเมินผลตัวเองนั้นเท่ากับว่าผู้เรียนได้ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ที่สำคัญหน้าที่หนึ่งของครูผู้สอน
แต่โดยปรกติแล้วผู้เรียนมักจะต้องการให้ผู้สอนตรวจแก้ข้อผิดและให้คำแนะนำเกี่ยวกับผลการเรียนรู้ของตนด้วย
โดยการเรียนรู้ไม่ใช่กระบวนการที่ผู้เรียนจะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวที่ผู้เรียนจะเรียนแค่สิ่งที่ผู้สอนเขียนหรืออธิบายบนกระดานดำเพียงเท่านั้น
หากแต่ตัวผู้เรียนเองยังต้องพยายามเข้าใจและปรับใช้องค์ความรู้เหล่านั้นด้วยตัวเองให้ได้
ด้วยเหตุนี้ผู้เรียนทุกคนจึงควรที่จะสามารถกำหนดแนวทางการเรียนรู้ของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียนหรือไม่ก็ตาม
โดยผู้เรียนต้องรู้เองว่าพวกเขาได้บรรลุเป้าหมายทางการเรียนของเขาแล้วหรือไม่
ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวอาจมาจากการตั้งเป้าหมายของตัวผู้เรียนเองหรือมาจากปัจจัยภายนอกก็ได้
เช่น การทำแบบฝึกหัดได้ การเรียนจบคอร์ส หรือการสอบผ่าน
เกณฑ์ประเมินที่ชัดเจนมีส่วนช่วยในการประเมินผลตัวเอง
การประเมินผลด้วยตัวเองถือเป็นกิจกรรมสำคัญที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำความรู้จักกับจุดแข็งและจุดอ่อน
รวมถึงการปรับพฤติกรรมการเรียนให้เข้ากับจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองได้
ยกตัวอย่างเช่น การบันทึกสิ่งผู้เรียนเข้าใจออกมาเป็นตารางเหมือนเช็คลิสต์แบบ European
Language Portfolio ซึ่งทำให้ผู้เรียนสามารถประเมินระดับภาษาได้ด้วยตัวเองและรับทราบถึงสิ่งที่ผู้เรียนควรจะแก้ไขหรือยังสามารถพัฒนาต่อไปได้
ยกตัวอย่างเช่น ผู้เรียนคนหนึ่งอาจรับรู้ว่าทักษะการอ่านของตนสูงกว่าทักษะอื่นๆ
ทางภาษา
การทำเช็คลิสต์ประเมินความสามารถเป็นกิจกรรมที่เป็นที่รู้จักในการเรียนการสอนภาษา
โดยกลุ่มผู้สอนภาษาหลายกลุ่มก็ได้นำรูปแบบการประเมินผลดังกล่าวมาปรับใช้ในช่วงท้ายของบทเรียนเพื่อประเมินผลว่าผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาของบทเรียนนั้นๆ
มากน้อยแค่ไหน โดยผู้เรียนจะสามารถเลือก ขีดช่องทักษะที่ตัวเองเข้าใจ
ช่องที่ตัวเองต้องการเรียนรู้เพิ่มหรือช่องที่ตัวเองต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้
นอกจากนี้
เรายังสามารถสร้างเกณฑ์การประเมินผลสำหรับแบบฝึกหัดอื่นๆ ได้ด้วยเช่น
การนำเสนอผลงาน การเขียนแผ่นพับหรือการเขียนเรียงความ เป็นต้น
โดยเกณฑ์ดังกล่าวจะมีประโยชน์กับตัวผู้เรียนอย่างชัดเจนและให้ผู้เรียนเห็นผลถึงสองทางด้วยกัน
โดยเฉพาะการเตรียมตัวทำข้อสอบ ยกตัวอย่างเช่น
หากผู้เรียนได้ทำการประเมินผลตามเกณฑ์ในแบบฝึกหัดการเขียนมาแล้ว
ผู้เรียนก็จะรับทราบจุดด้อยของตัวเองและสามารถฝึกเขียนตามจุดที่ตัวเองยังไม่ถนัดได้
การคำนึงถึงจุดด้อยของตัวเองดังกล่าวจะมีส่วนช่วยในระหว่างการทำข้อสอบที่ผู้สอนไม่สามารถเข้าไปช่วยผู้เรียนได้อีกด้วย
โดยเกณฑ์ดังกล่าวจะเปรียบเสมือนตัวควบคุมให้ผู้เรียนระวังจุดด้อยหรือข้อผิดพลาดที่ตัวเองมักทำในข้อสอบได้
แต่ผู้เรียนก็มักจะต้องการคำอธิบายเพิ่มเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินผล
ซึ่งผู้สอนจะเป็นผู้มีหน้าที่ในการอธิบายเกณฑ์ดังกล่าวให้เข้าใจง่ายขึ้นด้วยการยกตัวอย่างประโยค
การใช้ตัวอย่างบทความ หรือตัวอย่างการแก้ปัญหาในแบบทดสอบ
เพื่อให้ผู้เรียนรับทราบถึงจุดด้อยที่ตัวเองยังต้องพัฒนา และสามารถประเมินผลตัวเองได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพได้มากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม
การที่ผู้เรียนทำการประเมินผลด้วยตัวเองผ่านเกณฑ์ที่ระบุไว้แล้วอาจไม่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของตัวเองได้อย่างเต็มที่เพราะเกณฑ์ดังกล่าวอาจไม่รวมถึงจุดที่มีความสำคัญต่อผู้เรียนเป็นรายบุคคล
ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่ผู้เรียนจะสามารถตั้งเกณฑ์ การประเมินให้กับตัวเองได้นั้น
ผู้เรียนต้องทราบว่าผู้เรียนสามารถประเมินจุดไหน อย่างไร นักวิจัยด้านภาษาศาสตร์
คุณ Karin
Kleppin จึงแนะนำ การประเมินผลด้วยตัวเองในระดับย่อย
ซึ่งเป็นเหมือนแบบฝึกหัดย่อยสำหรับผู้เรียนก่อน
โดยผู้เรียนจะได้รับเกณฑ์ประเมินผลกลุ่มหนึ่งสำหรับแบบฝึกหัดหนึ่ง
ในขั้นแรกผู้เรียนแต่ละคนจะต้องขีดตามช่องเกณฑ์ที่ผู้เรียนคิดว่าเขาสามารถประเมินเกณฑ์นั้นๆ
ด้วยตนเองได้
หลังจากนั้นผู้ทำแบบประเมินช่วงแรกจะมารวมตัวกันเพื่อคุยกันเป็นกลุ่มว่าเกณฑ์ไหนสามารถประเมินได้
และหากประเมินได้เราสามารถประเมินได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น
“ฉันได้ตรวจแก้คำที่ฉันเขียนผิดบ่อยๆ หลังจากทำแบบฝึกหัดเสร็จ”
เป็นเกณฑ์ที่ประเมินได้ง่ายกว่า “ฉันไม่ได้เขียนคำผิดเลย”
โดยเกณฑ์แรกเป็นเกณฑ์ที่ช่วยแนะนำการพัฒนากระบวนเรียนรู้ อีกทั้งยังคำนึงข้อผิดพลาดของผู้เรียนเป็นรายบุคคลด้วย
วิธีที่เป็นที่นิยมในการประเมินผลตนเอง
วิธีที่เป็นที่นิยมในการประเมินผลตนเอง
|
Foto: © Willing-Holtz – plainpictureการทำให้การพัฒนาทักษะของเห็นผลชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้
การทำให้ผู้เรียนตระหนักถึงพัฒนาการของตัวเองก็เป็นอีกหนึ่งจุดประสงค์หลักของการประเมินผลด้วยตัวเองอีกด้วย
การตระหนักดังกล่าวจะเป็นเหมือนแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคน
โดยเฉพาะในกลุ่มที่ผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถในระดับที่แตกต่างกันมาก
โดยการประเมินผลด้วยตัวเองก็มีประโยชน์สำหรับผู้เรียนภาษาในระดับสูงเช่นกัน
เพราะผู้เรียนกลุ่มนี้มักจะไม่ค่อยสังเกตการพัฒนาการทางด้านภาษาของตน
การประเมินผลสามารถทำได้ด้วยกิจกรรมต่างๆต่อไปนี้
การให้ผู้เรียนเขียนเรียงความสั้นๆ
ในเวลาไม่กี่นาทีในหัวข้อที่คุ้นเคยอย่างสม่ำเสมอ
โดยผู้เรียนแต่ละคนจะต้องนับจำนวนคำที่เขียนหลังจากเขียนเสร็จและรวบรวมจำนวนดังกล่าวมาทำเป็นกราฟแบบง่ายๆ
หลังจากทำแบบฝึกหัดนี้เป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ผู้เรียนจะสังเกตเห็นได้ชัดว่าเขียนได้ลื่นไหลและใช้คำศัพท์ในการเขียนได้มากขึ้น
ผู้สอนสามารถใช้วิธีประเมินผลอื่นๆ มาประกอบได้ด้วยเพื่อวัดระดับการพัฒนาการเขียนในด้านอื่นๆ
เช่น การใช้คำและประโยคที่เข้าใจง่ายและถูกต้อง
การให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดที่ใช้เวลานานอีกหนึ่งรอบ
หลังจากนั้นให้ผู้เรียนแต่ละคนนำผลลัพธ์ของแบบฝึกหัดทั้ง
สองรอบมาเทียบเคียงกันและจดบันทึกจุดที่ผู้เรียนทำได้ดีกว่าการทำแบบฝึกหัดรอบแรก
การให้ผู้เรียนรวบรวมสื่อประกอบการเรียนต่างๆ
ที่ใช้ในห้องเรียนเช่น อีเมล์ บทสรุปเนื้อหา
ตัวอย่างบทสนทนาหรือไฟล์เสียงที่ใช้ฝึกฟัง และนำเอกสารเหล่านี้มาเรียงต่อๆ
กันให้เป็นเหมือนกระบวนการเรียนรู้ของตัวเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
การประเมินผลด้วยตัวเองมีผลต่อการเรียนการสอนโดยรวมด้วย
หลังจากที่ผู้เรียนทำการประเมินผลด้วยตัวเองเสร็จและทราบถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตัวผู้เรียนมักจะต้องการปฏิกิริยาตอบรับจากตัวผู้สอน
ซึ่งผู้สอนก็อาจจะให้คำแนะนำเป็นตัวบุคคลหรือเสนอกิจกรรมและแบบฝึกหัดในการแก้ไขจุดอ่อนดังกล่าว
ในปัจจุบันมีการนำแนวการสอนที่ชื่อว่า Fide ที่เน้นการจำลองสถานการณ์มาใช้ในการสอนภาษาต่างประเทศตั้งแต่ระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง
(B1)
โดยเราได้ค้นพบว่าการใช้สื่อการสอนที่หลากหลายและการประเมินผลด้วยตัวเองของผู้เรียนสามารถช่วยพัฒนาและแก้ไขจุดอ่อนของผู้เรียนแต่ละคนได้
การที่ผู้เรียนเข้าใจถึงเกณฑ์การประเมินผลสำหรับการประเมินตนเองยังทำให้กระบวนการประเมินผลการเรียนการสอนทั้งหมดมีความโปร่งใสมากขึ้น
เพราะผู้เรียนจะสามารถเข้าใจการประเมินผลของผู้สอนได้เช่นกัน
โดยการแบ่งจำแนกเกณฑ์ประเมินผลเป็นเกณฑ์ย่อยๆ จะช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจในการเรียนและยังช่วยให้ผู้เรียนสามารถวางแผนการเรียนของตนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของตนได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้
การประเมินผลด้วยตัวเองยังเปรียบเสมือนการเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้เพิ่มเติมหลังเรียนจบและการแสวงหาความรู้และประสบการณ์อย่างต่อเนื่องต่อไป
เพราะผู้เรียนจะสามารถเลือกเกณฑ์และวิธีที่เหมาะสมในการประเมินการพัฒนาการของตนเองและเอาผลลัพธ์มาปรับใช้กับพฤติกรรมการเรียนรู้ของตนเองได้
อย่างไรก็ตาม
เราไม่ควรนำการประเมินผลด้วยตัวเองของผู้เรียนมาแทนที่การประเมินผลจากตัวผู้สอนหรือการสอบทั่วไปเลยสักทีเดียว
แต่ควรนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน ยกตัวอย่างเช่น
การสอบวัดระดับทางภาษาที่ชื่อ Dialang ซึ่งเป็นการรวมตัวกันระหว่างการประเมินผลด้วยตัวเองกับคำถามในข้อสอบแบบทั่วไป
และผู้สอบจะได้รับคำแนะนำจากตัวผู้สอนพร้อมกับผลสอบเป็นตัวรับรองความสามารถของตนเองอีกด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้คือการมีส่วนร่วมระหว่างผู้สอนและผู้เรียนในการพัฒนาการเรียนรู้และขีดความสามารถของผู้เรียน
โดยทั้งสองฝ่ายจะสามารถกำหนดและตกลงวัตถุประสงค์และแนวทางการเรียนรู้ร่วมกันได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น